หากใครติดตามข่าวคงจะทราบแล้วว่าปีนี้ เป็นปีที่ประเทศไทยอากาศร้อนที่สุดในรอบ 50 ปี บางพื้นที่ อุณหภูมิพุ่งสูงไปถึง 45 องศาเรียกว่าร้อนที่สุดในประวัติการณ์ ดังนั้นแน่นอนว่าปีนี้ตลอดฤดูร้อนเรายังต้องเจอกับอากาศอันเลวร้ายเหล่านี้อีกเยอะ

ฤดูร้อน มีหลายคนสูญเสียปลาชนิดที่เรียกว่า ตายตัวเนียนกันเยอะแยะมากมาย หลายคนคิดว่าปลาเหล่านั้นร้อนจนช๊อคตาย ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ วันนี้เราจะหยิบยกเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ

?ทำไมน้ำร้อนปลาถึงตาย?
หลายเสียงต่างวิภาควิจารณ์ กันไป ถึง สาเหตุการตายของปลาของตัวเอง ไปต่างๆ นาๆ แน่นอนว่าหลายคนมักจะคิดว่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ปลาก็จะรับไม่ได้ และช๊อคตายในที่สุด จริงอยู่ว่านั่นคือ หนึ่งในข้อสันนิษฐานที่ใครๆ ก็คิดว่ามันควรเป็นอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้ง่ายเพียงแค่ร้อนแล้วช๊อคตายจบ เพราะหากพูดกันทางหลักวิทยาศาสตร์ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นเมื่อใด ยังส่งผลต่อปัจจัยอื่นๆ ตามที่ผมพอจะสรุปที่มาที่ไปดังต่อไปนี้

  • “คุณภาพน้ำ” เมื่อใดก็ตาม ที่อุณหภูมิน้ำในแต่ละสภาวะแวดล้อมสูงขึ้น สิ่งที่จะตามมาอันดับแรกคือกระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์ของแบคทีเรีย กลุ่ม (nitrifying bacteria) หรือเรียกแบบไทยๆ ว่าแบคทีเรียกลุ่มที่ใช้ออกซิเจน ??ในการย่อยสบายของเสีย จะมีมากขึ้น แน่นอนว่าเมื่อมีการย่อยสลายมากขึ้น มีปริมาณแบคทีเรียมากขึ้น สิ่งที่จะตามมาก็คือ ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำก็จะต่ำลง (DO)✨ เนื่องจากถูกแบคทีเรีย?นำไปใช้ในกระบวนการย่อยสลาย ยังไม่จบแค่นั้นเมื่อออกซิเจนที่ละลายในน้ำต่ำ แน่นอนว่าของเสียที่เปลี่ยนจากสารอินทรีย์ จะเปลี่ยนไปอยู่ในรูปของ แอมโมเนีย และ ไนไตรท์ซึ่งจัดว่าเป็นสารประกอบไนโตรเจนที่มีความเป็นพิษต่อสัตว์น้ำ แต่แอมโมเนีย (NH3) ซึ่งเป็นพิษต่อสัตว์น้ำ และแอมโมเนียอิออน(NH4+) ซึ่งไม่เป็นพิษต่อสัตว์น้ำในการวัดแอมโมเนียโดยทั่วไปจะวัดรวมทั้งสองรูป แอมโมเนียทั้งสองรูปแบบนี้จะเปลี่ยนกลับไปกลับมาตาม pH ของน้ำ และอุณหภูมิของน้ำโดยเฉพาะ pHของน้ำที่สูงขึ้นอัตราส่วนของแอมโมเนีย(NH3) จะสูงขึ้น ทำให้ความเป็นพิษต่อสัตว์น้ำมีมากขึ้น แต่ถ้า pHของน้ำลดลง แอมโมเนียในรูปแอมโมเนียอิออนจะมีในอัตราส่วนที่มากขึ้น ทำให้ความ เป็นพิษต่อสัตว์น้ำลดลง โดยแอมโมเนีย (NH3) จะส่งผลต่อตัวปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ โดยจะให้ pH ของเลือดเพิ่มขึ้นและมีผลต่อการทำงานของเอ็นไซม์ แอมโมเนียจะทำให้การใช้ออกซิเจนของเนื้อเยื่อสูงขึ้นซึ่งจะมีผลเสียต่อปลา โดยจะไปขัดขวางการแลกเปลี่ยน ก๊าซออกซิเจนจากเหงือกสู่ระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้เหงือกเกิดความเสียหายรวมถึงเยื่อบุต่างๆ ที่ทำหน้าที่สร้างเมือกปกคลุมตัว และทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ถ้ามีมากจะออกฤทธิ์ทำให้กัดบริเวณผิวหนังสัตว์น้ำ เป็นช่องแผล และจะเป็นทางเข้าสู่ร่างกายสัตว์น้ำ เชื้อโรค จะทำให้เกิดเป็นแผลหลุม จุดแดงๆ เป็นจ้ำๆ เป็นตุ่มมีน้ำเหลือง และเป็นโรคผิวหนังต่างๆ มีผลทำให้สัตว์น้ำนั้นอ่อนแอ ป่วย และตายได้ สรุปง่ายๆ ว่า “เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ความเป็นพิษของแอมโมเนียก็มากขึ้นตามไปด้วย”
  • “ชนิดของปลา” จริงๆ ปัจจัยนี้ไม่ได้ถือว่าเป็นต้นเหตุ แต่ถือเป็นปัจจัยสำคัญ ที่มีผลเชื่อมโยงกับปัจจัยเรื่องคุณภาพน้ำได้โดยตรง เนื่องจากปลาแต่ละชนิด มีวิวัฒนาการที่แตกต่างกัน มีถิ่นกำเนิด มีสภาพแวดล้อมในธรรมชาติแตกต่างกัน กินอาหารแตกต่างกัน และมีความทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน แน่นอนว่าปลาที่กินเนื้อเป็นหลัก และ ปลาที่มีวิวัฒนาการต่ำ โดยเฉพาะพวกปลาโบราณทั้งหลายถือเป็นพวกที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ควรต้องระมัดระวังมากที่สุด แต่จากการสันนิฐานเบื้องต้นจากปัญหาต่างๆ ของปลาสวยงาม ของใครหลายๆ คนที่ได้รับข้อมูลมา ทั้งจากภาพถ่ายและ จากหลายๆ คำบอกเล่า ว่ากลุ่มปลาที่มีการตายมากที่สุด กลับเป็นปลาที่มาจากเขตร้อน ไม่ว่าจะ แอฟริกา อเมริกาใต้ รวมไปถึงปลาไทยหลายๆ ชนิด และมีข้อสังเกตที่น่าสนใจมากที่สุด คือปลาที่ตายในหน้าร้อนนี้ส่วนใหญ่พบว่าเป็นกลุ่มปลากินเนื้อ แทบจะทั้งสิ้น แน่นอนว่าปลากลุ่มนี้เป็นปลาที่จำเป็นต้องกินอาหารสดเป็นอาหารหลัก อาหารสดถือเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูงมาก ดังนั้น เศษอาหารที่เหลือ และของเสียที่ปลาขับถ่ายออกมา จึงเป็นสารอินทรีย์จำนวนมหาศาลที่เข้าไปสู่ระบบ เมื่อ สารอินทรีย์ในน้ำมีสูง ผลที่ตามมาก็คือปัญหาเรื่องคุณภาพน้ำ และความเป็นพิษของแอมโมเนียดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
    ส่วนปลาคาร์ป เป็นปลาที่มีวิวัฒนาการไม่นาน และ เป็นปลาที่เลี้ยงอุณหภูมิ ไม่สูง และเลี้ยงด้วยอาหารเม็ด ที่ไม่ก่อเกิดแบคทีเรียมากนัก มีความทนทานต่ออากาศเปลี่ยนแปลงพอสมควร แต่ค่อยเป็นค่อยไปได้ดี
    ดั้งนั้นหากให้ผมสรุปว่าสาเหตุการตายของปลา ที่รักของใครหลายๆ คนในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมาเกิดจากอะไร โดยส่วนตัว จากข้อมูลต่างๆ ที่เอามารวมกัน เชื่อว่าการตายส่วนใหญ่น่าจะเกิดจากความเป็นพิษของแอมโมเนีย เป็นหลัก บวกกับปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำ(DO) ลดต่ำลงในช่วงที่การย่อยสลายสารอินทรีย์ในตู้เพิ่มขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำสูงขึ้น มากกว่าที่ปลาจะตายเพราะช๊อคเนื่องจากอุณหภูมิน้ำสูงขึ้นโดยตรง เสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงอย่างหนาแน่น รวมไปถึงปลาที่ผู้เลี้ยงมีพฤติกรรม การให้อาหารที่มากเกินความจำเป็น ก็ถือว่าตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเช่นกัน

?จะป้องกันและแก้ไขอย่างไรดี?

จากเหตุ และผลที่กล่าวไปแล้วข้างต้น คงเห็นแล้วว่า ตัวปัญหาของกรณีนี้ ที่นักเลี้ยงปลาทุกคนสามารถควบคุมได้มีอยู่ 2 ประการ คือ
?1.ควบคุมอุณหภูมิ
?2.ควบคุมคุณภาพน้ำให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา
เริ่มจากการควบคุมอุณหภูมิของ บ่อเลี้ยง ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเริ่มต้นของปัญหา จริงๆ แล้ว ทำได้หลายวิธี หากถามว่าวิธีไหนที่ง่าย และได้ผลดีที่สุดแบบไม่ต้องลุ้น ว่าจะเอาอยู่หรือเปล่า ขอตอบแบบกำปั้นทุบดินว่าง่ายนิดเดียว เพียงแค่ควักเงินหมื่น ซื้อ Chiller(เครื่องทำความเย็น) มาติด แค่นี้ทุกปัญหาของหน้าร้อน รับรองว่าเอาอยู่ แต่ถึงแม้ว่าจะได้ผลดี แต่มันก็ดูสิ้นคิดเสียเหลือเกิน เอาเป็นว่าคนธรรมดาๆ ที่ไม่ใช้เศรษฐี คงไม่มีใครใช้วิธีซื้อ Chiller มาติดเลี้ยงปลา เป็นแน่ๆ ว่าแล้วมาเข้าเรื่องข้อควรปฏิบัติเบื้องต้น ของการดูแลตู้ปลาในช่วงที่อุณหภูมิร้อนจัดกันดีกว่าครับ
? หมั่นตรวจเช็คอุณหภูมิในปลา บ่อยๆ ใช้เครื่องวัด Digital อย่างน้อยควรทราบว่าอุณหภูมิสูงสุด และอุณหภูมิต่ำสุด ของบ่อปลาในแต่ละวัน เป็นอย่างไร โดยทั่วไปปลาที่มาจากเขตหนาวมักจะอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 20-30 °c ดั้งนั้นหากเมื่อไหร่ที่อุณหภูมิในบ่อปลามีแนวโน้มว่าจะสูงเกินกว่านี้ ควรเริ่มเตรียมตัวที่จะควบคุมอุณหภูมิไม่ให้สูงเกินไป โดยการล้นน้ำ หรือ ทำน้ำตก หรือทำหลังคากันแดด ในช่วงที่มีอากาศร้อนจัดควรติดตามความแตกต่างของอุณหภูมิในตู้ตลอดทั้งวันให้ดี เพราะเป็นไปได้ว่าช่วงกลางวันที่ไม่มีคนอยู่บ้าน ตู้ปลาอาจจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าปกติ แต่พอตกเย็นถึงกลางดึกเมื่อมีการเปิดแอร์อาจจะทำให้เกิดความแตกต่างของอุณหภูมิมากเกินไป จนเกิดเป็นปัญหากับตัวปลาได้

-?พัดลมช่วยท่านได้ หากการเปิดฝาครอบตู้ และ ปิดไฟตู้ไม่สามารถช่วยทำให้อุณหภูมิลดลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ ขั้นตอนต่อไปสิ่งที่ต้องใช้ก็คือ “พัดลม” แต่หากให้ผมแนะนำ พัดลมที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงที่สุด และลงทุนน้อยที่สุด คือพัดลมตั้งโต๊ะ ที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วๆ ไปนี่หละครับ ทั้งใหญ่ ทั้งแรง ทั้งราคาถูก บางทีอาจจะไม่ต้องเสียเงินซื้อด้วยซ้ำ เพราะเป็นของใกล้ตัวที่ทุกบ้านต้องมีติดไว้อยู่แล้ว เมื่อได้พัดลมมาแล้วสิ่งที่ต้องทำคือ “ เปิดพัดลมเป่าไปที่ผิวน้ำครับ” โดยทั่วไปวิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ได้ผลดีมาก แต่ข้อเสียคือน้ำในบ่อจะระเหยออกเร็วมากกว่าเดิมหลายเท่า จึงทำให้ต้องคอยหมั่นเติมน้ำเข้าสู่ระบบอยู่บ่อยๆ

แต่หากการใช้วิธีควบคุมอุณหภูมิน้ำเบื้องต้นที่กล่าวไปยังไม่สามารถทำให้อุณหภูมิของตู้ปลากลับมาอยู่ในสภาวะปกติได้ ดังนั้นเมื่อควบคุมอุณหภูมิของบ่อไม่ได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมรับมือกับปัญหาในเรื่องของคุณภาพน้ำที่จะตามมาเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
? ลดการให้อาหารปลา ?เป็นวิธีการควบคุมคุณภาพน้ำที่ทำได้ง่ายที่สุด โดยในช่วงที่อากาศร้อนจัดควรลดการให้อาหารปลาลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าร้อนรุนแรง ให้งดอาหารไว้ก่อน ไม่ต้องกลัวว่าปลาจะอดตาย เพราะเป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ ที่ไม่น่าจะกินเวลาเกิน 1 เดือน สาเหตุที่ต้องลดเพราะ เมื่อปลากินน้อย ของเสียก็น้อย กระบวนการย่อยสลายของเสียในบ่อ อันจะส่งผลต่อคุณภาพน้ำดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ก็จะน้อยตามไปด้วย

  • เพิ่มปริมาณออกซิเจน
    โดยซื้อปั้มลมที่แรงขึ้น อย่างที่ได้บอกไปแล้วข้างต้นว่าหาก อุณหภูมิสูงขึ้น การย่อยสลายมากขึ้น ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำย่อมลดลง ดังนั้นการเติมออกซิเจนเข้าไป จึงเป็นวิธีการที่จำเป็นที่สุด ในการรักษาระดับปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำ ให้อยู่ในระดับปกติ
  • เปลี่ยนน้ำบ่อยขึ้น หากถามถึงวิธีการควบคุมคุณภาพน้ำที่ดีที่สุด คำตอบคงหนีไม่พ้น “การเปลี่ยนน้ำ” แต่อย่างไรก็ตามในกรณีที่อากาศร้อนจัด การเปลี่ยนน้ำนั้นไม่ได้ทำได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะบางทีอุณหภูมิของน้ำที่จะนำมาเปลี่ยนเข้านั้นอาจจะสูงกว่าอุณหภูมิในตู้ด้วยซ้ำ ทางออกที่หลายๆ คนใช้เมื่อเจอกับอุปสรรคที่ว่านี้คือ การเปลี่ยนน้ำในช่วงกลางดึก ซึ่งอุณหภูมิของน้ำประปา หรือ น้ำที่เตรียมไว้เริ่มลดต่ำลง อย่างไรก็ตามก่อนการเปลี่ยนน้ำทุกครั้ง ควรวัดอุณหภูมิน้ำทั้ง บ่อปลา และ น้ำที่จะนำมาเปลี่ยน ให้ดีก่อน แล้วจึงค่อยทำการเปลี่ยนน้ำให้กับปลา

เบื้องต้นสำหรับการรับมือกับปัญหาเรื่อง อากาศที่ร้อนจัด จนทำให้ส่งผลกับตู้ปลา ในความเป็นจริงๆ แล้วยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถทำได้ แต่อาจจะต้องมีการซื้ออุปกรณ์ หรือเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เพิ่มเติม แต่วิธีที่ผมนำเสนอไป ถือเป็นวิธีเบื้องต้นที่สุด ที่ทุกๆ คนสามารถทำได้อย่างทันท่วงที โดยที่ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มกับการซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติมแต่อย่างไร และหากเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากได้ทำตามทุกวิธีที่นำเสนอไป ถึงแม้ว่าอาจจะไม่สามารถควบคุมกลับมาให้กลับมาอยู่ในสภาวะปกติได้ แต่ผมเชื่อว่าอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะลดระดับจากที่มีความเสี่ยง ให้ลงมาอยู่ที่ระดับเฝ้าระวังได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการลงทุนด้วยตัวเงินแต่อย่างใด และสำหรับในปีนี้ จะร้อน หรือไม่ร้อนอย่างไร แต่ถ้า “มีความรู้ติดตัวไว้ ย่อมดีกว่าเป็นแน่”
จาก
อาราชิยาม่า โค่ย ฟาร์ม
The Best Koi from Japan
เครดิต: AF arowana farm